วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ประโยชน์ของดนตรีต่อเด็ก



ประโยชน์ของดนตรีต่อเด็ก
           ดนตรี  เป็นศิลปะแห่งเสียงที่มนุษยชาติได้บรรจงสร้างสรรค์ขึ้นไว้   นับตั้งแต่ที่มนุษย์ได้ยินเสียงจากธรรมชาติและพยายามลอกเลียนเสียง   จนกระทั่งสร้างเสียงดนตรีขึ้นได้   เสียงดนตรีอยู่คู่กับมนุษย์มาโดยตลอดไม่ว่าชนชาติใด  ภาษาใด  ความเชื่อทางศาสนาใด   ดนตรีสามารถเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมความเป็นอยู่    อันแสดงถึงความเจริญทางจิตใจและอารยะธรรมของมนุษย์ชนชาติต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีการศึกษาดนตรีในปัจจุบันได้รับการยอมรับให้เป็นวิชาหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาเด็ก     จากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์พบว่า   ดนตรีมีผลต่อการพัฒนาสมองเด็ก เนื่องจากในสมองมีสารเคมีบางตัวที่มีผลต่อความรู้สึก   ความจำ  การเรียนรู้   ความคิดสร้างสรรค์  ฯลฯ   เราเรียกสารนี้ว่า   สารสื่อสัญญาณในสมอง (Neurotransmitter)   ได้แก่   สารเพื่อเกิดการกระตุ้น (excitatory) และสารเพื่อการยับยั้ง  (inhibitory)  สารเคมีทั้ง 2 ชุดนี้  ช่วยทำให้เด็กมีความตั้งใจ  สนใจการเรียนรู้  มีสมาธิ    สารเคมีนี้จะหลั่งมากเมื่อมีเด็กมีกิจกรรมที่ผ่อนคลาย  เช่น    การออกกำลังกาย   การได้รับคำชมเชย   การเล่นเป็นกลุ่ม   การร้องเพลง     การได้รับการสัมผัสที่อบอุ่น  การเล่นดนตรีและการเรียนศิลปะโดยไม่ถูกบังคับ    กระบวนการเรียนรู้ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสุข  เกิดจากความสมดุลของสมองทั้งสองซีก           เมื่อสารเอนโดฟีน (endophine)  หลั่งออกมา  ทำให้เด็กมีความสุข  เป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ของการเรียนรู้ที่มีคุณค่า    ถ้าสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้กระตุ้นให้เด็กมีความเครียด  กดดัน  แข่งขันเพื่อเอาชนะ  จะเป็นสารแอนดรีนาลีน (adrenalin)  ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์เรียนรู้ที่ไม่พึงปรารถนา    และสร้างความทรงจำที่ไม่ดีให้กับเด็ก  แนวคิดของความจำเป็นในการเรียนดนตรีสำหรับเด็กได้รับสำคัญมากขึ้น  ด้วยทฤษฎีความหลากหลายของสติปัญญา (Theory  of  Multiple  Intelligences)  ซึ่ง โฮเวิร์ด   การ์ดเนอร์ (Howard  Gardner) ได้ศึกษาและจำแนกความเก่งของคนไว้ 7 ประการหลัก  ได้แก่  ด้านภาษา (verbal/linguistic)  ด้านดนตรี/ จังหวะ (musical/rhythmic) ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (logical/ mathematical)  ด้านการเคลื่อนไหว (body/kinesthetic) ด้านศิลปะ/มิติสัมพันธ์ (visual/spatial)  ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล/การสื่อสาร (interpersonal) และด้านความรู้สึก/ความลึกซึ้งภายในจิตใจ (intrapersonal)  ความเก่งหรือความสามารถนี้มีรูปแบบการพัฒนาเฉพาะตัว  มีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามสังคม  และวัฒนธรรม  แนวคิดนี้แตกต่างไปจากเรื่อง  IQ  หรือ  ความฉลาด  ซึ่งความเชื่อดั้งเดิมถือว่า  ความฉลาดวัดได้จากการทดสอบในเด็กเพียงบางวิชา  เช่น  คณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์  ภาษาศาสตร์     แต่ปัจจุบัน  คำจำกัดความว่า  “ ฉลาด”  “เก่ง”  “ พรสวรรค์ " ได้เปลี่ยนไปแล้ว    ดังเช่น  นักกีฬาชื่อดัง  เช่น  ภราดร  ศรีชาพันธ์    หรือ  นักดนตรีอย่าง  วาเนสซ่า  เมย์   ก็ถือได้ว่าเป็นอัจริยะทางด้านต่าง ๆ  ที่เขาและเธอถนัด  ซึ่งสามารถทำได้ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป    และเมื่อเรามองถึงภูมิหลังของบุคคลอัจฉริยะทั้งหลายจะพบว่า  เขาเหล่านั้นไม่ได้บังเอิญเกิดมาเก่งเพียงอย่างเดียว   แต่ได้รับการส่งเสริมอย่างถูกต้องและต่อเนื่องมาตั้งแต่เยาว์วัย  จากครอบครัว พ่อ แม่  ญาติพี่น้อง     ครู  อาจารย์  โรงเรียน  และสังคม   ที่เอื้อหนุนให้ความเก่งของเขาเพิ่มพูนขึ้น  จนสามารถเปลี่ยนความถนัดให้เป็นความสามารถพิเศษได้
ความสามารถพิเศษทางดนตรีของมนุษย์   เป็นศักยภาพที่พบมากในคนที่เล่นดนตรี  ศิลปินดนตรี  นักแต่งเพลง  ผู้ควบคุมวง   ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน   นักร้อง   นักเต้นรำ   ซึ่งบุคคลพวกนี้มีทักษะทางดนตรีในขั้นพิเศษกว่าคนทั่วไป   เช่น    เมื่อฟังเพลงแล้วสามารถจับจังหวะได้   สามารถบอกระดับเสียง   เขียนเป็นโน้ตดนตรี    ตีความบทเพลง    รับรู้พลังของดนตรี    ซึ่งบุคคลทั่วไปอาจฟังแค่เพลงนั้นไพเราะหรือถูกใจเพียงผิวเผิน    แต่อย่างไรก็ดี   ความสามารถทางดนตรีย่อมพัฒนาให้ดีขึ้นได้ด้วยการฝึกฝน  เช่น   ฝึกเล่นดนตรี   ฝึกร้องเพลง     ฝึกอ่านโน้ต  ฝึกฟังเพลงมาก ๆ    การฝึกฝนทางด้านดนตรีที่ดี  ผู้เรียนต้องมีแรงจูงใจ  มีความอยากเรียนด้วยตนเอง   มีความสุขเมื่อได้ทำกิจกรรมดนตรี   มีความต้องการแสดงออกทางดนตรี    
               ดังนั้น พ่อ แม่  ผู้ปกครองควรสร้างรากฐานแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก ยังเล็ก   ดังเช่นคำพูดที่ว่า “กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว”เพราะว่าในช่วงแรกของชีวิต   เป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ที่ดีที่สุด  เด็กที่ได้รับการเตรียมพร้อมโดยพ่อ  แม่  ก่อนการเข้าเรียนในโรงเรียนย่อมได้เปรียบเด็กอื่น ๆ  ที่มีกิจกรรมที่บ้านด้วยการดูโทรทัศน์  หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์    การเรียนดนตรีก็เช่นเดียวกัน   มีผู้ปกครองส่วนมากที่เข้าใจกันว่า  เมื่อส่งลูกเข้าเรียนพิเศษในโรงเรียนดนตรีก็หวังว่าจะให้เด็กประสบความสำเร็จทางดนตรีเช่นเดียวกับ  โมซารท์ (Mozart) คีตกวีเอกของโลก   แต่ไม่ได้สร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ดนตรีที่บ้าน  เช่น  การเปิดเพลงให้ฟัง   การพาเด็กไปชมการแสดงดนตรี   ซึ่งหมายถึงประเภทของดนตรีที่ฟังด้วย  เพราะดนตรีที่ส่งเสริมความคิดที่ดีต้องเป็นดนตรีที่กลั่นกรองมาดี        เช่น  ดนตรีคลาสสิก  หรือ  ดนตรีพื้นบ้าน   ดนตรีไทย  ดนตรีที่ไม่ได้รับการปรุงแต่งด้วยเทคโนโลยีจนผิดธรรมชาติ
                 มีงานวิจัยทางดนตรีหลายชิ้นในต่างประเทศพบว่า  ถ้าเด็กทารกได้ฟังเพลงคลาสสิกที่คัดสรรแล้ว  เมื่อเด็กโตขึ้นจะมีพัฒนาการทั้งร่างกายและสมองเร็วกว่าเด็กปรกติ       คือ   ความสามารถทางการได้ยิน  การใช้กล้ามเนื้อ  การพูด  การอ่าน  ความมีสมาธิ   การตอบสนองโดยทั่วไปดีกว่าเด็กปรกติ   งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่มีชื่อเสียงมีชื่อว่า  Mozart  Effect  ซึ่งนำเอาบทประพันธ์ของคีตกวี    โมซาร์ทมาทดลองให้เด็กฟัง   และสรุปบางตัวอย่างบทเพลงที่ควรให้เด็กฟัง   ได้แก่  Divertimento  K 136 ,  Opera(Don  Giovanni)-Deh  Vieni  Alla  Finestra ,  Quintet  for  clarinet  A  Major  K 581-2nd  Movement , Sonata  for  2 pianos  D  major  K 448-2nd  Movement  ฯลฯ     ผลงานนี้มีขายทั่วไป   และได้ทำทั้งรูปแบบ  CD  และ  DVD  ซึ่งมีภาพการ์ตูนประกอบบทเพลงให้เด็กได้ฟังเพื่อความเพลิดเพลินด้วย    ผู้เขียนเคยเห็นผลงานเหล่านี้บางส่วนมีขายในศูนย์การค้าในประเทศไทยแล้วด้วย     ดังนั้นสิ่งแรกที่พ่อ  แม่   ควรเริ่มก่อนการส่งเด็กเข้าเรียนดนตรี  นั่นคือ  การสร้างสภาพแวดล้อมทางดนตรีที่ดี   ด้วยการฟังดนตรีที่ดีตั้งแต่วัยทารก     นักวิชาการบางท่านเชื่อว่า  ควรฟังดนตรีตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์มารดาด้วยซ้ำไป  


โดย  ประพันธ์ศักดิ์   พุ่มอินทร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น